top of page

บ่อน้ำพุร้อนเทพพนม - อุทยานแห่งชาติออบหลวง

น1.jpg

ข้อมูลทั่วไป

 เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติเกิดจากความร้อนใต้พิภพ ประกอบไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนมากกว่า 15 บ่อ เป็นชนิดบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำซึม วางตัวเป็นแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวรอยเลื่อน ไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนลงสู่น้ำแม่แจ่ม นอกจากนี้แล้วภายในบ่อน้ำร้อนยังมีแรงดันพุ่งขึ้นมากระทบน้ำเย็นใต้

ดินเกิดเป็นไอร้อนคุอยู่ตลอดเวลา ความร้อนสูงถึงประมาณ 90 องศาเซลเซียส บริเวณเป็นที่ราบโล่งเตียน ประมาณ 10 ไร่ มีลำห้วยเล็กๆ คือ ห้วยโป่งไหลผ่าน จึงมีทั้งธารน้ำร้อนและน้ำเย็นบริเวณเดียวกัน โดยอุทยาน แห่งชาติออบหลวงมีให้บริการห้องอาบน้ำแร่และโรงนวด 1 หลัง ประกอบไปด้วยห้องอาบน้ำแร่ส่วนตัวจำนวน10 ห้อง และห้องนวดชาย 1 ห้อง หญิง 1 ห้อง บ่อต้มไข่จ้านวน 2 บ่อ บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ 1 บ่อ บ่อกลางแจ้งแบบมีหลังคา 1 หลัง และไม่มีหลังคา 1 หลัง

น8.png
น9.png

อุทยานแห่งชาติออบหลวง
โทรศัพท์ : 081 602 1290
โทรสาร  : 053-317-497, 053 461 219
อีเมล : oob_100@hotmail.com

น5.png

นาขั้นบันไดป่าบงเปียง

นาขั้น1.jpg

“บ้านป่าบงเปียง” ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอ บ้านป่าบงเปียง ชื่อหมู่บ้านนี้มาจากชื่อของ “ไผ่บง” ไม้ไผ่ชนิดหนึ่งซึ่งภาษาเหนือ เรียกว่า “ไม้บง” ส่วนคำว่า “เปียง” หมายถึงที่ราบสันเขา ซึ่งในอดีตบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านแห่งนี้มีไม้ไผ่บงขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นดังป่าไผ่ในท่ามกลางที่ราบสันเขา

     ต่อมาเมื่อมีการตั้งชุมชนขึ้น ป่าไผ่ได้กลายเป็นท้องทุ่งนาบนตามไหล่เขาหรือ “นาขั้นบันได” ที่เดิมก็เป็นการปลูกข้าวไร่ไปตามสภาพพื้นที่ของชาวชุมชนบ้านป่าบงเปียง

นาขั้น1.jpg
44.jpg

        ทุก ๆ ปี ในช่วงฤดูทำนา (ฤดูฝนถึงฤดูหนาว) ชาวบ้านที่นี่จะลงมือทำการดำนาปักกล้าปลูกข้าวตั้งแต่กลางฤดูฝนราวกลางเดือนกรกฎาคมหรือต้นสิงหาคม ทุก ๆ ปี ในช่วงฤดูทำนา (ฤดูฝนถึงฤดูหนาว) ชาวบ้านที่นี่จะลงมือทำการดำนาปักกล้าปลูกข้าวตั้งแต่กลางฤดูฝนราวกลางเดือนกรกฎาคมหรือต้นสิงหาคม (ตามสภาพฟ้าฝนของปีนั้น ๆ ) หลังจากนั้นต้นข้าวที่นี่ก็จะค่อย ๆ เจริญเติบโตกลายเป็นทุ่งนาขั้นบันไดอันสวยงามกว้างไกล ย้อมพื้นที่หลังดอยอินทนนท์ให้เขียวขจีดุจดังพรมสีเขียวขนาดใหญ่ในช่วงฤดูฝน
         เมื่อถึงช่วงฤดูหนาวต้นข้าวจะแตกรวง ใบเปลี่ยนสีกลายเป็นทุ่งนาขั้นบันไดสีทองที่มีเสน่ห์สวยงามไปอีกแบบ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของช่วงกลางฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่ชาวบ้านจะลงมือเก็บเกี่ยวปิดฤดูการทำนาของปีนั้น ๆ

ผ้าซิิ่นตีนจก.jpg

ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม

44444444.jpg

         ผ้าทอแม่แจ่มมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ที่เรียกว่า "ซิ่นตีนจก" จุดกำเนิดซิ่นตีนจกของแม่แจ่ม สืบฝีมือมาจากเชื้อสายพญาเขื่อนแก้ว ผู้ปกครองเมืองเชียงราย ในสมัยมีการอพยพผู้คนของ พระญากาวิละนั้น  พระองค์ได้ไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองเชียงแสน ซึ่งมีฝีมือการทอผ้าตีนจก เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านอาราม (บ้านป่าแดด)  อำเภอแม่แจ่ม  เดิมก่อนสองร้อยปีที่ผ่านมา   แต่ละปีท้าวพญาเชียงแสนต้องส่งส่วยเครื่องบรรณาการให้กับเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่หนึ่งครั้ง ของที่ส่งประกอบด้วยข้าว ไม้สัก รวมถึงผ้าทอตีนจก ต่อมาเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ส่งวัสดุมีค่าประเภทดิ้นเงินดิ้นทองผสมไหมมาให้ชาวเชียงแสนทอผ้าซิ่นส่งให้เจ้านายฝ่ายใน

             กระทั่งเมื่อย้ายชาวเชียงแสนมาอยู่ที่แม่แจ่ม สตรีชาวไทโยน (ไทยวน) จากเชียงแสนยังคงทอผ้าตีนจก ส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้เป็นส่วยส่งให้กับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ด้วยฝีมืออันประณีตทำให้ราชสำนักเชียงใหม่ยังคงมีการส่งดิ้นเงินดิ้นทองจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ไปยังแม่แจ่ม เพื่อให้ทอส่งกลับเข้าไปยังคุ้มหลวงนครเชียงใหม่ โดยมีกฎมณเฑียรบาลห้ามชาวบ้านสวมซิ่นที่ทอด้วยดิ้นเงิน-ดิ้นทองหรือไหมราคาแพง ทำให้ผ้าซิ่นตีนจกที่ทอด้วยวัสดุต่างกัน ได้กลายมาเป็นเครื่องบ่งชี้สถานภาพทางสังคม

           สตรีชั้นสูงห่มสไบ   นุ่งผ้าซิ่นตีนจก ส่วนคนมีฐานะรองลงมา จะนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมืองแบบ "ซ่ินก่าน" หรือ "ซ่ินต๋า" (ซิ่นที่มาลายเป็นตาๆ ) กล่าวคือตัวซ่ินสีเหลืองหรือสีอ่อนแต่งลายตามขวาง ท้ิงชายซิ่นหรือตีนซ่ินสีดํา ไม่ตกแต่งลวดลายตีนจก

10.jpg
2.jpg

ในชีวิตประจำวันนั้น ผู้หญิงใส่เสื้อบะห้อย (เสื้อคอกระเช้า) ทับด้วยเสื้อปีก หรือเสื้อหลองแดง (เสื้อรองแดง) แล้วนุ่งผ้าซิ่นต๋า หากมีงานพิเศษก็จะนุ่งผ้าซิ่นตีนจก ผ้าฝ้ายพื้นสีขาวนั้นปลูกเอง หากเป็นฝ้ายสีแดง-น้ำเงินจะเป็นการนำเข้าจากตะวันตกแถวสาละวินในพม่าและจากจีน เนื่องจากเชียงแสนเป็นเมืองทางผ่านด้านวัตถุดิบสินค้าวัวต่างจากจีนฮ่อและเชียงตุงมาสู่เชียงใหม่

      ในส่วนของทำเลที่ตั้งของแม่แจ่มเองก็อยู่ในระหว่างเส้นทางการค้าระหว่างล้านนาตอนบนกับหงสาวดี ประเทศพม่า ส่งผลต่อปัจจัยที่มีอิทธิพลในการผลิต ในอดีตการจกตีนซิ่นของผ้าตีนจกจะใช้ฝ้ายจาก 2 แหล่ง คือ 1. ฝ้ายจากทางฝั่งตะวันตก เมืองผาปูน พะอาน และเมืองทางใต้ของลุ่มน้ำสาละวิน และ 2. ฝ้ายจากฝั่งตะวันออก ได้มาจากเมืองจอมทอง เรียกว่า ฝ้ายละหัน ซึ่งมีคุณภาพด้อยกว่า

      ในอดีตการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าตีนจกเป็นการถ่ายทอดกันระหว่างคนในครอบครัว ผู้หญิงทุกคนจะต้องสามารถทอผ้าได้ โดยจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุประมาณ 6 – 7 ปี เป็นการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไปทีละนิดจากครอบครัว  ทุกบ้านจะมีเครื่องมือทอผ้าคือ หูกและเครื่องอีดฝ้ายอยู่ใต้ถุนบ้าน

       ลวดลายเกือบทั้งหมดเป็นลวดลายที่ทำสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ เว้นเสียแต่ว่าหากช่างทอคนใดมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถประดิษฐ์ลวดลายใหม่ที่เป็นของตนเองได้ การทอผ้านั้นจะใช้เวลาที่เหลือจากการประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจําวัน เช่น การทํานา การทําไร่ การทําสวน สีที่ใช้สําหรับทอในอดีตจะได้มาจากการย้อมตามธรรมชาติ เช่น สีแดงได้มาจากเปลือกไม้ หรือ ก้อนหิน สีดําได้มาจากลูกมะเกลือ สําหรับชาวเชียงแสนแล้วการทอผ้าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความพร้อมของผู้หญิงในการออกเรือน อีกทั้งลวดลายในการทอก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถและความพยายามของผู้หญิงคนนั้นด้วย

3.jpg

       ในชีวิตประจำวันนั้น ผู้หญิงใส่เสื้อบะห้อย (เสื้อคอกระเช้า) ทับด้วยเสื้อปีก หรือเสื้อหลองแดง (เสื้อรองแดง) แล้วนุ่งผ้าซิ่นต๋า หากมีงานพิเศษก็จะนุ่งผ้าซิ่นตีนจก ผ้าฝ้ายพื้นสีขาวนั้นปลูกเอง หากเป็นฝ้ายสีแดง-น้ำเงินจะเป็นการนำเข้าจากตะวันตกแถวสาละวินในพม่าและจากจีน เนื่องจากเชียงแสนเป็นเมืองทางผ่านด้านวัตถุดิบสินค้าวัวต่างจากจีนฮ่อและเชียงตุงมาสู่เชียงใหม่

     จุดเด่นคือลวดลายการทอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นลายเก่าแก่มีถึง 15 ลาย เป็นลายละเอียด มีสีสันมากกว่า 5 สีขึ้นไป เช่น ลายโคมเชียงแสน หงส์ดำ ลายเชียงแสนหลวง ลายเชียงแสนน้อย ลายโคมละกอนหลวง ลายละกอนน้อย  ลายนาคกุม ลายขันสามแอว ลายขันแอวอู เป็นต้น

บ.jpg

ปิ่นปักผมล้านนา

ง.jpg

บ้านปิ่นโบราณ ของดีเมืองแม่แจ่ม อ.แม่แจ่มปิ่นปักผม ถือเป็นเครื่องประดับศีรษะของสตรีชาวล้านนา ใช้ประดับเสริมความงามแทนการใช้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่น กระดังงา มะลิ เอื้องผึ้ง เก็ดถวา เป็นต้น เสียบลงบนช่อมวยผม เพื่อเป็นการบูชาขวัญกระหม่อม 32 ขวัญ เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ ต่อมาพัฒนามาเป็นปิ่นปักผมที่ทำขึ้นด้วยโลหะเงิน ทองคำและทองเหลือง ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ ขุนนางและเจ้านายชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์มากพอในการจัดหามาครอบครองส่วนตน

ย_edited.jpg

การอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญา นางบัวจันทร์ นิปุณะ ผู้สืบทอดการทำปิ่นปักผมล้านนาต่อจากนายก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน (คุณพ่อ) ปราชญ์ท้องถิ่นผู้มีความชำนาญในการทำปิ่นปักผมโบราณ คนสำคัญของอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้ส่งต่อทักษะภูมิปัญญา เทคนิคการทำปิ่นปักผมอันเป็นเอกลักษณ์แห่งล้านนาให้แก่นางบัวจันทร์สืบทอดต่อทุกระบวนการมาจนถึงปัจจุบัน

นางบัวจันทร์ เริ่มต้นเรียนรู้การทำปิ่นปักผมจากการนำเหรียญสตางค์แดง (เหรียญสลึง) มาผ่าครึ่ง นำไปเผาไฟเพื่อหลอมละลาย แล้วนำมาตีขึ้นรูปเป็นทรงกรวยคล้ายร่ม ชาวล้านนาเรียกว่า “ปิ่นจ้อง” และได้ฝึกฝนวิชาการทำจากคุณพ่อ(นางบัวจันทร์ นิปุณะ ผู้สืบทอดการทำปิ่นปักผมล้านนาต่อจากนายก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน (คุณพ่อ) ปราชญ์ท้องถิ่นผู้มีความชำนาญในการทำปิ่นปักผมโบราณ คนสำคัญของอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม) ปัจจุบันนางบัวจันทร์ นับเป็นช่างฝีมือคนสำคัญของบ้านแม่แจ่ม ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่ยังคงสืบทอดภูมิปัญญาการทำปิ่นปักผมโบราณ และยึดเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 30กว่า ปีมาแล้ว

ล_edited.jpg

ุุ68 หมู่ 4  ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ 50270
E-mail :  nfemaechaem@cmi.nfe.go.th
Tel 053485222
Fax 053485222

 

bottom of page